ธรรมนิยายอิงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
สีวลราช วีรกษัตริย์ทรงธรรม : เกริ่น
ความแตกดับดำรงอยู่ในสรรพสิ่ง
ในสมัยที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ หญิงคนหนึ่งนามว่า มัลลิกา มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามีของมัลลิกานั้นเป็นถึงมหาเสนาบดีผู้ทรงความยุติธรรมและเป็นนักรบที่ยิ่งยง
ทั้งสองมีบุตรทั้งสิ้น ๓๓ คน ล้วนแต่เก่งกาจสามารถในเชิงยุทธ์ไม่ต่างจากบิดา กล่าวกันว่า ไม่ว่าข้าศึกเข้มแข็งสักปานใด หากมีบิดาและบุตรทั้งสามสิบสามควบม้านำทัพทะยานสู่สมรภูมิ จะไม่ได้ยินว่าประสบความพ่ายแพ้เด็ดขาด
ฝ่ายมัลลิกาผู้ภรรยา ก็เป็นพุทธสาวิกา มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย แยกแยะดีชั่วได้ประหนึ่งแยกแยะขาวกับดำ
วันหนึ่งนางถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ในเรือนของตนเองตามปกติ
ขณะนั้นเอง พนักงานกรมเมืองผู้หนึ่งก็นำจดหมายมายื่นให้ นางรับมาเปิดอ่านแล้วพับเก็บไว้ที่ชายพก แล้วยกสำรับถวายพระด้วยอาการปกติ
ผ่านไปครู่หนึ่ง สาวใช้ที่ยกสำรับเข้ามา ก็ผลั้งทำถาดหลุดมือแตกกระจายเกลื่อน พระสารีบุตรเถระผู้เป็นประธานสงฆ์เห็นดังนั้น จึงกล่าวขึ้นว่า
“ความแตกดับดำรงอยู่ในสรรพสิ่ง ของที่ควรแตกดับได้ก็แตกดับแล้ว”
มัลลิกาได้ยินดังนั้น แย้มยิ้มกับพระเถระอย่างนุ่มนวล ล้วงจดหมายจากชายพก แล้วว่า
“สามีและบุตรทั้งสามสิบสามของดิฉัน ถูกฝ่ายตรงข้ามวางแผนสังหารเมื่อคืนนี้ ดิฉันเพิ่งทราบข่าวเมื่อครู่ แต่เพราะเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้ จึงระงับความโศกเศร้าไว้ได้เจ้าค่ะ”
การที่มัลลิกาไม่แสดงความโศกเศร้ารำพันต่อการจากไปของสามีและบุตร มิใช่ไร้อาลัยต่อพวกเขา เพียงแต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้น โศกเศร้ารำพันไป ก็ไม่ก่อมรรคผลใดๆ แม้แต่น้อย
แม้จะร้องไห้จนน้ำตาท่วมถึงพรหมโลก ก็ไม่อาจเรียกให้คนตายฟื้นคืนมาได้
พระท่านว่า "ความแตกดับดำรงอยู่ในทุกสิ่ง" ที่มัลลิกาต้องทำคือ ปรับจิตใจให้ยอมรับความจริงข้อนี้...
แล้วที่ทุกคนควรทำคืออย่างไร....
ปัญญาขงเบ้ง : สามวันหาเกาทัณฑ์สิบหมื่น
จิวยี่รู้สึกว่านับวันขงเบ้งนั้นจะฉลาดและรู้ทันตนไปเสียทุกเรื่อง ต้องหาทางกำจัดให้หมดเสี้ยนใจ การศึกครั้งนี้จิวยี่กับขงเบ้งเห็นต้องกันว่า จะรบกับโจโฉชนะได้ต้องใช้เกาทัณฑ์ จิวยี่จึงไหว้วานขงเบ้งให้จัดทำเกาทัณฑ์สิบหมื่นดอก แต่มีเวลาเพียงสิบวัน ขงเบ้งรู้ทันว่าจิวยี่คิดอะไรอยู่จึงขอแค่สามวัน ครบสามวันให้ส่งเรือห้าร้อยลำไปรับเกาทัณฑ์ได้ หากทำไม่ได้ตามที่พูดขงเบ้งจะยอมรับโทษ
ฝ่ายจิวยี่นั้นก็ถ่วงขงเบ้งด้วยการไม่จัดซื้ออุปกรณ์อะไรให้ หวังจะให้ขงเบ้งล้มทั้งยืนเพราะหาเกาทัณฑ์ไม่ได้ตามที่รับปากไว้
ขงเบ้งทำเป็นร้อนใจให้โลซกช่วยเหลือ ส่งเรือยี่สิบลำ คนประจำสามสิบคน ขอฟางข้าวและผ้าสีน้ำเงินมาให้ แล้วย้ำว่าไม่ให้บอกจิวยี่ ซึ่งโลซกก็พานซื่อรับปากและหาเรือหาคนให้ขงเบ้ง
จากนั้น ขงเบ้งนั่งดื่มสุราอย่างสบายใจในเรือลำน้อยของเขา กับเวลาที่งวดลงทุกที เหมือนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจแม้แต่น้อย
ค่ำวันสุดท้าย ขงเบ้งชวนโลซกนั่งดื่มสุราอุ่นด้วยกันจนดึก ครั้นใกล้รุ่งหมอกลงจัดขงเบ้งก็บอกว่าไปรับเกาทัณฑ์ด้วยกัน
เรือทั้งยี่สิบลำถูกมัดตรึงติดกันแล้วขงเบ้งก็สั่งเคลื่อนเข้าหากองทัพโจโฉ พอเข้าใกล้ในระยะที่คำนวนไว้ ก็สั่งให้คนตีกลองและโห่ร้องทำทียกทัพเข้าโจมตี ยามนั้นหมอกลงจัดจึงช่วยอำพรางกองทัพเก๊ได้เป็นอย่างดี
ฝ่ายโจโฉเห็นว่าหมอกจัด หากยกพลออกต้านอาจติดกับข้าศึก จึงสั่งให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ขับไล่ ดอกเกาทัณฑ์พุ่งเข้าหาเรือฟางของขงเบ้งเป็นห่าฝน
ขงเบ้งครั้นเห็นว่ากราบเรือปริ่มน้ำแล้วจึงสั่งให้หยุดตีกลองโห่ร้อง และให้เคลื่อนเรือกลับ พร้อมกับให้คนในเรือโห่ร้องขอบคุณโจโฉที่ประทานเกาทัณฑ์ สร้างความเดือดดาลแก่โจโฉที่เสียรู้ขงเบ้ง
รุ่งขึ้น จิวยี่ก็ต้องทั้งตะลึงทั้งผิดหวัง ตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าขงเบ้งจะหาเกาทัณฑ์สิบหมื่นดอกมาได้เพียงชั่วข้ามคืน ที่เสียใจก็เพราะตนเองออกอุบายเป็นครั้งสองแต่ยังฆ่าขงเบ้งไม่ได้