สีวลราช วีรกษัตริย์ทรงธรรม : เกริ่น


ธรรมนิยายอิงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา

เกิดเหตุน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด !

ใต้จันทร์กระจ่าง ดาวพร่างฟ้า ลมโชยชื่นชวนเคลิบเคลิ้ม ปรากฏชายผู้หนึ่งวิ่งคลุกคลานมาโดยไม่มีทิศทาง เขาหันมองหลังบ่อยครั้งเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างด้วยอาการลนลาน แม้จะดูอ่อนแรงแต่ฝีเท้าก็ยังถี่กว่าเสียงหอบของเขา

ถลาไปอีกไม่กี่ก้าว ก็เป็นอันต้องแหกปากโหยหวนแทบไม่เป็นเสียงมนุษย์แล้วผงะหงายลงไปงอก่องอขิงกับพื้น ชั่วขณะก็กระเสือกกระสนลุกขึ้นวิ่งซมซานต่อไปอีก ท่ามกลางพระจันทร์วันเพ็ญ...นอกจากดวงตาที่เหลือกลานแสดงอาการหวาดกลัวถึงขีดสุดนั้นแล้ว ไม่มีสภาพอื่นใดในร่างกายของเขาจะแสดงว่าเป็นคน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งตัวของเขาพุพองและเกรียมเหมือนเพิ่งขึ้นจากกองเพลิง

เพลิงนรก !

ถูกแล้วภราดา สิ่งที่รุกไล่บุรุษผู้นั้นไม่เลิกราไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาต ไม่ใช่สัตว์ร้ายในป่า แต่มันคือไฟ

…สูงยาว และกว้างไม่สิ้นสุด พุ่งมาจากทุกทิศทางยกเว้นเบื้องหน้า เหมือนจะเหลือทางไว้ให้เขาหนี หนีจนขาดใจตาย

“ชะ...ช่วยข้า...ช่วยข้าที” เสียงแหบพร่าเหมือนวัวถูกเชือดนั้น แทบไม่เป็นภาษา

“ช่วย....อ๊า!..”

ร้องได้เท่านี้ก็ร่วงลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้นอีก แต่คราวนี้เรี่ยวแรงเหมือนถูกเผาผลาญไปหมดสิ้น เขาครวญครางและตะกุยตะกายไปบนพื้น พื้นที่เป็นกรวดหินแหลมคมและเต็มไปด้วยขวากหนาม ทุกครั้งที่เถลือกไถลไปไม่เนื้อก็เลือกต้องติดคมกรวดและคมหนามนั้น

ฉับพลัน... หูเขาก็แว่วเสียงหัวร่อเยาะหยันสลับกับเสียงร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุดมาจากที่ไหนสักแห่ง ครั้งแรกแผ่วเบาเหมือนห่างไกล จากนั้นค่อยๆ ใกล้เข้ามาๆ แล้วก็ห่างออกไปอีก ครั้นแล้วก็เหมือนมีสักร้อยๆ พันๆ คนมารุมหัวร่อและร่ำร้องอยู่รอบกายเขาก็ไม่ปาน

ลนลานพลิกหงายขึ้น วงหน้าที่ต้องแสงจันทร์บิดเบี้ยวไหม้เกรียมจนน่าขนพองสยองเก้า ครั้นแล้วปากที่บัดนี้เหมือนเป็นเพียงดูรูรูหนึ่งก็อ้าออกแล้วแผดร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกน้ำร้อน ยกมือมืออันพองเกรียมขึ้นอุดหู กลิ้งเกลือกครวญครางไปตามพื้นอย่างน่าสยดสยอง

พระเพลิงและเสียงจากนรก!
จะเผาไหม้ให้ตายในวูบเดียว จะรุกไล่แล้วสับให้ขาดเป็นจุนมหาจุนก็ยังดีเสียกว่า
ภรดา มันไม่ยอมให้ง่ายดังนั้นเลย


(โปรดติดตาม บทที่ ๑ : ผู้ประกาศศักดา)


ความแตกดับดำรงอยู่ในสรรพสิ่ง



ในสมัยที่พระศากยมุนีพุทธเจ้า
ยัง
ทรงพระชนม์อยู่ หญิงคนหนึ่งนามว่า มัลลิกา มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามีของมัลลิกานั้นเป็นถึงมหาเสนาบดีผู้ทรงความยุติธรรมและเป็นนักรบที่ยิ่งยง

ทั้งสองมีบุตรทั้งสิ้น ๓๓ คน ล้วนแต่เก่งกาจสามารถในเชิงยุทธ์ไม่ต่างจากบิดา กล่าวกันว่า ไม่ว่าข้าศึกเข้มแข็งสักปานใด หากมีบิดาและบุตรทั้งสามสิบสามควบม้านำทัพทะยานสู่สมรภูมิ จะไม่ได้ยินว่าประสบความพ่ายแพ้เด็ดขาด

ฝ่ายมัลลิกาผู้ภรรยา ก็เป็นพุทธสาวิกา มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย แยกแยะดีชั่วได้ประหนึ่งแยกแยะขาวกับดำ

วันหนึ่งนางถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ในเรือนของตนเองตามปกติ

ขณะนั้นเอง พนักงานกรมเมืองผู้หนึ่งก็นำจดหมายมายื่นให้ นางรับมาเปิดอ่านแล้วพับเก็บไว้ที่ชายพก แล้วยกสำรับถวายพระด้วยอาการปกติ

ผ่านไปครู่หนึ่ง สาวใช้ที่ยกสำรับเข้ามา ก็ผลั้งทำถาดหลุดมือแตกกระจายเกลื่อน พระสารีบุตรเถระผู้เป็นประธานสงฆ์เห็นดังนั้น จึงกล่าวขึ้นว่า

“ความแตกดับดำรงอยู่ในสรรพสิ่ง ของที่ควรแตกดับได้ก็แตกดับแล้ว”

มัลลิกาได้ยินดังนั้น แย้มยิ้มกับพระเถระอย่างนุ่มนวล ล้วงจดหมายจากชายพก แล้วว่า

“สามีและบุตรทั้งสามสิบสามของดิฉัน ถูกฝ่ายตรงข้ามวางแผนสังหารเมื่อคืนนี้ ดิฉันเพิ่งทราบข่าวเมื่อครู่ แต่เพราะเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้ จึงระงับความโศกเศร้าไว้ได้เจ้าค่ะ”


การที่มัลลิกา
ไม่แสดงความโศกเศร้ารำพันต่อการจากไปของสามีและบุตร มิใช่ไร้อาลัยต่อพวกเขา เพียงแต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้น โศกเศร้ารำพันไป ก็ไม่ก่อมรรคผลใดๆ แม้แต่น้อย

แม้จะร้องไห้จนน้ำตาท่วมถึงพรหมโลก ก็ไม่อาจเรียกให้คนตายฟื้นคืนมาได้

พระท่านว่า "ความแตกดับดำรงอยู่ในทุกสิ่ง" ที่มัลลิกาต้องทำคือ ปรับจิตใจให้ยอมรับความจริงข้อนี้...

แล้วที่ทุกคนควรทำคืออย่างไร....

ปัญญาขงเบ้ง : สามวันหาเกาทัณฑ์สิบหมื่น


จิวยี่รู้สึกว่านับวันขงเบ้งนั้นจะฉลาดและรู้ทันตนไปเสียทุกเรื่อง ต้องหาทางกำจัดให้หมดเสี้ยนใจ การศึกครั้งนี้จิวยี่กับขงเบ้งเห็นต้องกันว่า จะรบกับโจโฉชนะได้ต้องใช้เกาทัณฑ์ จิวยี่จึงไหว้วานขงเบ้งให้จัดทำเกาทัณฑ์สิบหมื่นดอก แต่มีเวลาเพียงสิบวัน ขงเบ้งรู้ทันว่าจิวยี่คิดอะไรอยู่จึงขอแค่สามวัน ครบสามวันให้ส่งเรือห้าร้อยลำไปรับเกาทัณฑ์ได้ หากทำไม่ได้ตามที่พูดขงเบ้งจะยอมรับโทษ

ฝ่ายจิวยี่นั้นก็ถ่วงขงเบ้งด้วยการไม่จัดซื้ออุปกรณ์อะไรให้ หวังจะให้ขงเบ้งล้มทั้งยืนเพราะหาเกาทัณฑ์ไม่ได้ตามที่รับปากไว้

ขงเบ้งทำเป็นร้อนใจให้โลซกช่วยเหลือ ส่งเรือยี่สิบลำ คนประจำสามสิบคน ขอฟางข้าวและผ้าสีน้ำเงินมาให้ แล้วย้ำว่าไม่ให้บอกจิวยี่ ซึ่งโลซกก็พานซื่อรับปากและหาเรือหาคนให้ขงเบ้ง

จากนั้น ขงเบ้งนั่งดื่มสุราอย่างสบายใจในเรือลำน้อยของเขา กับเวลาที่งวดลงทุกที เหมือนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจแม้แต่น้อย

ค่ำวันสุดท้าย ขงเบ้งชวนโลซกนั่งดื่มสุราอุ่นด้วยกันจนดึก ครั้นใกล้รุ่งหมอกลงจัดขงเบ้งก็บอกว่าไปรับเกาทัณฑ์ด้วยกัน

เรือทั้งยี่สิบลำถูกมัดตรึงติดกันแล้วขงเบ้งก็สั่งเคลื่อนเข้าหากองทัพโจโฉ พอเข้าใกล้ในระยะที่คำนวนไว้ ก็สั่งให้คนตีกลองและโห่ร้องทำทียกทัพเข้าโจมตี ยามนั้นหมอกลงจัดจึงช่วยอำพรางกองทัพเก๊ได้เป็นอย่างดี

ฝ่ายโจโฉเห็นว่าหมอกจัด หากยกพลออกต้านอาจติดกับข้าศึก จึงสั่งให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ขับไล่ ดอกเกาทัณฑ์พุ่งเข้าหาเรือฟางของขงเบ้งเป็นห่าฝน

ขงเบ้งครั้นเห็นว่ากราบเรือปริ่มน้ำแล้วจึงสั่งให้หยุดตีกลองโห่ร้อง และให้เคลื่อนเรือกลับ พร้อมกับให้คนในเรือโห่ร้องขอบคุณโจโฉที่ประทานเกาทัณฑ์ สร้างความเดือดดาลแก่โจโฉที่เสียรู้ขงเบ้ง

รุ่งขึ้น จิวยี่ก็ต้องทั้งตะลึงทั้งผิดหวัง ตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าขงเบ้งจะหาเกาทัณฑ์สิบหมื่นดอกมาได้เพียงชั่วข้ามคืน ที่เสียใจก็เพราะตนเองออกอุบายเป็นครั้งสองแต่ยังฆ่าขงเบ้งไม่ได้